ผมคิดว่าทุกๆ ท่าน คงทราบดีกว่า นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 (ปี ค.ศ. 1901 ถึงปัจจุบัน) ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการรัฐประหารยึดอำนาจได้สำเร็จมากถึง 13 ครั้ง เป็นลำดับที่ 4 ของโลก รองจากโบลีเวีย ปารากวัย และเฮติ และถือเป็นประเทศที่มีอัตราการทำรัฐประหารสำเร็จสูงที่สุดของโลกอีกด้วย โดยทำสำเร็จถึง 13 ครั้ง จากการทำรัฐประหารทั้งหมด 21 ครั้ง และถ้าจะนับจำนวนครั้งในการทำรัฐประหาร 21 ครั้ง ของประเทศไทย นี่ไม่ได้น้อยหน้าใครนะครับ เป็นประเทศที่มีจำนวนครั้งในการทำรัฐประหารสูงเป็นลำดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ ซูดาน อิรัก และโบลีเวีย เท่านั้น
คำถามที่วนเวียนอยู่ในใจของหลายๆ คน ก็คือ ทำไมประเทศไทยถึงได้มีรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยขนาดนั้น แล้วทำไมการทำรัฐประหารในประเทศไทยถึงประสบความสำเร็จได้โดยไม่ยากเย็นนัก ทั้งๆ ที่ข้ออ้างในการทำรัฐประหารของทหารนอกรีต ก็เป็นเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นการแอบอ้างว่าเป็นการทำเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ใส่ร้ายว่าคนกลุ่มหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ หรือเป็นภัยความมั่นคงของชาติ ใส่ความว่ารัฐบาลปัจจุบันมีการทุจริตคอร์รัปชั่น อ้างว่าประชาชนมีความแตกแยก ทั้งๆ ที่คณะผู้ก่อรัฐประหารก็อยู่เบื้องหลังการสร้างสถานการณ์ความแตกแยกนั้นเสียเอง และเมื่อรัฐประหารสำเร็จแล้ว ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น กลไกความโปร่งใส และการตรวจสอบถ่วงดุล ก็ถดถอยลงทุกครั้ง มีแต่กลุ่มนายทุนศักดินา และเครือข่ายอุปถัมภ์ ที่กินรวบทรัพยากร และผลประโยชน์ของชาติ ทำให้ประเทศล้าหลังถดถอย ปัญหาความเหลื่อมล้ำถูกซ้ำเติมให้รุนแรงเพิ่มขึ้น
คำตอบ ก็คือ เราไม่เคยถอดบทเรียนของการทำรัฐประหารของประเทศไทยอย่างจริงจัง ไม่เคยที่จะสร้างกลไกในระบอบประชาธิปไตยเพื่อชำระประวัติศาสตร์ ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร และนำตัวคณะผู้ก่อการรัฐประหารมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนไม่เคยคิดที่จะปฏิรูปเชิงโครงสร้างแก้ไขความฟอนเฟะของสภาวะรัฐซ้อนรัฐที่บั่นทอนอำนาจของรัฐบาลพลเรือน บ่อนทำลายกลไกการถ่วงดุลอำนาจระหว่าง อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ
หนังสือที่ชื่อว่า Coup d'État A Practical Handbook ที่เขียนโดย Edward Luttwak ที่สำนักพิมพ์ ซี.เจ.บุ๊คส์ ได้นำมาแปล ได้เรียบเรียงสถานการณ์การทำรัฐประหารในประเทศต่างๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจกลไก และเงื่อนไขของการทำรัฐประหารในประเทศต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น สามารถอ่านสัญญาณ และคาดการณ์การทำรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้น เข้าใจอุบายของชนชั้นนำในการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อยืมมือของประชาชนมาสร้างสถานการณ์ เพื่อฝ่ายตนมีความชอบธรรมที่จะใช้อาวุธ และความรุนแรงมายึดอำนาจจากอีกฝ่าย ซึ่งเนื้อหาในหนังสือฉบับนี้ จะทำให้ผู้อ่านมีภูมิคุ้มกันต่อการทำรัฐประหารได้ดีขึ้น
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าประเทศไทยมีการถอดบทเรียนการทำรัฐประหารอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ประเทศไทยปลอดภัยจากการทำรัฐประหารได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาประเทศดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการจรรโลงให้ดีขึ้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็จะค่อยๆ ทุเลาลงตามลำดับ และหนังสือเล่มนี้ ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำพาประเทศไทยของเราไปสู่จุดๆ นั้นได้ ลองอ่านกันดูนะครับ จะได้เข้าใจวงจรอุบาทว์ของการทำรัฐประหาร ความคิดสามานย์ของของคณะผู้ก่อรัฐประหาร และจะทำให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อคนเหล่านี้อีกต่อไป
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล