งานวิจัยพบว่า ทฤษฎีเกมมีความเชื่อมโยงระหว่างฟิสิกส์ควอนตัม งานวิจัยพบว่า ทฤษฎีเกมมีความเชื่อมโยงระหว่างฟิสิกส์ควอนตัม
แม้งานวิจัยเป็นการศึกษาเฉพาะทาง และทางนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ทำการเชื่อมโยงหัวข้อต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองทฤษฎีนี้เข้าด้วยกัน ทางด้านนักฟิสิกส์อย่าง Dr.Nicolas Brunner กับนักคณิตศาสตร์อย่างอาจารย์ Noah Linden ทั้งสองคนได้ทำงานร่วมกันอย่างลับ ๆ และพบว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเวลาทั้งสองทฤษฎีนี้มีความเชื่อมโยงกันก็คือ ทฤษฎีเกมกับฟิสิกส์ควอมตัม
Dr.Brunner ได้กล่าวว่า “บางครั้งการเชื่อมโยงต่าง ๆ มาจากหัวข้อต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลย การเชื่อมโยงที่พบใหม่นี้เพียงพอที่จะทำการต่อยอดเรียนรู้และเปิดกว้างแนวทางการวิจัยได้”
ทฤษฎีเกมทุกวันนี้มีการนำไปประยุกต์ใช้กันอย่างเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ, สังคมศาสตร์, ชีววิทยาและปรัชญา ซึ่งเค้าโครงทางด้านคณิตศาสตร์นี้ได้อธิบายถึงสถานการณ์ความขัดแย้งหรือการแข่งขันระหว่างผู้เล่นแต่ละคนที่มีความฉลาดทางด้านการใช้หลักเหตุผล เป้าหมายก็คือ จะต้องทำการคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่ออกมา ในยุคปี 1950 ทางด้าน John Nash ได้อธิบายว่า กลยุทธ์ต่าง ๆ นั้น ผู้เล่นแต่ละคนจะมีการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับจุดสมดุล (หรือเรียกว่า Nash Equilibrium) ซึ่งไม่มีผู้เล่นคนไหนอยากที่จะทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปทุก ๆ ครั้ง
กลศาสตร์ควอนตัมในทางทฤษฎีได้อธิบายถึงสิ่งที่มีขนาดเล็กในทางฟิสิกส์อย่างเช่นอนุภาคกับอะตอม ซึ่งมีการคาดการณ์ออกมาอย่างเป็นวงกว้าง และบ่อยครั้งมีปรากฎการณ์ที่แสดงออกมาในทางตรงกันข้ามอย่างเช่น ควอนตัมที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นเหตุและผล
ในปี 1960 John Stewart Bell ได้ทำการวิเคราะห์ว่า การคาดการณ์ในทางกลศาสตร์ควอนตัมมีความขัดแย้งกันในส่วนของหลักทฤษฎีความเป็นเหตุและผล นั่นล่ะครับ ความจริงก็คือ วัตถุมีอิทธิพลในการควบคุมเพียงแค่มันตอนที่มีสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและไม่ได้มีผลลัพธ์ที่มีความต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้สังเกตการณ์หลายคนไม่สนใจที่จะทำการประเมินในส่วนที่เป็นความสลับซับซ้อนของควอนตัมอนุภาค อย่างเช่น โฟตอน
ผลลัพธ์ที่ออกมาประเมินได้ว่า มีค่าความสัมพันธ์สูงมาก ความจริงค่าความสัมพันธ์ต่าง ๆ พวกเขายังไม่สามารถทำการอธิบายได้โดยทฤษฎีฟิสิกส์ในมุมมองของหลักของความเป็นเหตุและผล
ด้วยเหตุนี้กลศาสตร์ควอนตัมจึงเป็นทฤษฎีที่ไม่มีความเป็นเหตุและผล และความจริงก็คือ ธรรมชาติล้วนแล้วไม่มีความเป็นเหตุและผลที่จะทำการสามารถยืนยันตัวอย่างการทดลองที่ผ่านมาเป็นจำนวนมากได้
ในเอกสารที่ได้มีการตีพิมพ์ใน Nature Communications นั้น Dr.Brunner กับอาจารย์ Linder ได้อธิบายว่า ประเด็นที่ถกกันทั้งสองเรื่องนี้ ความจริงแล้วยังมีแนวคิดต่าง ๆ แบบเดียวกันที่มีความเชื่อมโยงกันในเชิงลึก ตัวอย่างเช่นแนวคิดเกี่ยวกับฟิสิกส์เกี่ยวกับความเป็นเหตุและผลโดยปกติแล้วจะเห็นได้จากเกมต่าง ๆ ที่ผู้เล่นหลายคนได้เอากลยุทธ์เก่าแก่มาปรับใช้ ความจริงแล้วทฤษฎีความเป็นเหตุและผลโดยพื้นฐานก็จะมีข้อจำกัดสำหรับผู้เล่นหน้าเก่า (นั่นล่ะครับ มีความเชื่อมโยงกับการทฤษฎีฟิสิกส์แบบเดิม)
ต่อมาได้มีการนำเอากลศาสตร์ควอนตัมมาใช้กับเกม ทางด้านนักวิจัยหลายคนชี้ว่า ผู้เล่นแต่ละคนที่มีการใช้แหล่งข้อมูลทางด้านควอนตัมอย่างเช่น การใช้ควอนตัมอนุภาคสามารถมีชัยเหนือกว่าผู้เล่นหน้าเก่าได้ นั่นล่ะครับผู้เล่นที่ใช้แนวคิดควอนตัมจะมีโอกาสก้าวหน้ากว่าผู้เล่นหน้าเดิม
Dr.Brunner ได้กล่าวว่า “ข้อได้เปรียบพวกนี้นำไปปรับใช้เข้ากับชีวิตจริงได้ อย่างเช่นนำเรื่องนี้มาใช้ในการประมูล ซึ่งเรื่องนี้ได้อธิบายเอาไว้ในเกมที่พวกเราได้ทำการวิเคราะห์เอาไว้ ด้วยเหตุนี้ผลงานของพวกเราไม่เพียงแค่จะเปิดการเชื่อมต่อสะพานระหว่างทั้งสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดกว้างในการประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีควอนตัมได้ด้วย”
ที่มา : sciencedaily.com