ปฎิกิริยาของพวกเราที่มีต่อกลิ่นมนุษย์ด้วยกันเองเผยให้เห็นถึงทัศนคติทางการเมือง ปฎิกิริยาของพวกเราที่มีต่อกลิ่นมนุษย์ด้วยกันเองเผยให้เห็นถึงทัศนคติทางการเมือง
“มีความเชื่อมโยงระหว่างบางคนที่ไม่ชอบกลิ่นกับผู้นำที่เป็นจอมเผด็จการที่มักจะชอบปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงและเพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มต่าง ๆ ‘มีความปรองดอง’ จึงก่อให้เกิดการปฎิสัมพันธ์กลุ่มสังคมน้อยลงและอย่างน้อยในทางทฤษฎีนั้นมีโอกาสทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยลง” กล่าวโดย Jonas Olofsson
กลิ่นตัวถือเป็นรากฐานอารมณ์ความรู้สึกที่ช่วยให้พวกเราดำรงชีวิตรอดได้ เมื่อผู้คนมีกลิ่นตัว พวกเขาทำจมูกให้ย่นและเหล่ตาไปอีกข้าง โดยพื้นฐานแล้วเป็นการแสดงอารมณ์ความรู้สึกไปในทางด้านลบ กุญแจสำคัญก็คือกลิ่นตัวเป็นตัวป้องกันสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายและมักนำไปสู่เชื้อโรคที่พวกเราต้องหลีกเลี่ยง ทางด้านนักวิจัยได้ให้ทฤษฎีว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อกลิ่นตัวกับคนที่ต้องการเข้าร่วมองค์กรทางสังคมนั้น พวกเขาคิดว่า คนที่มีสัญชาติญาณที่แข็งแกร่งสามารถได้รับกลิ่นไม่พึงปรารถนาในระยะไกลได้เมื่ออยู่ในกลุ่มสังคมที่คละเคล้ากันไป
“การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างรากฐานอารมณ์ความรู้สึกในการรับรู้เชื้อโรคเช่นกลิ่นตัวกับทัศนคติต่าง ๆ นั้น ก็นำไปสู่การเจาะลึกความคิดของกลุ่มคนนั้น โดยคาดการณ์ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความเสียหายได้ ในอนาคตนั้นเขาอาจเริ่มมีความคิดตัวเองเป็นใหญ่ขึ้นมา” กล่าวโดย Marco Tullio Liuzza
จากการประเมินได้มีผู้เข้าร่วมโดยมีระดับกลิ่นตัวร่างกายที่แตกต่างกันออกไป โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องดมกลิ่นของตัวเองและของคนอื่น โดยมีการประเมินด้วยแบบสำรวจออนไลน์ในประเทศต่าง ๆ พร้อมกับตั้งคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมุมมองทางการเมืองของพวกเขา โดยในประเทศอเมริกานั้น มีการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า พวกเขาจะลงคะแนนประธานาธิบดีปี 2016 อย่างไร “ชี้ให้เห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบกลิ่นตัวมนุษย์มักลงคะแนนให้กับโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่าคนที่ไม่ได้รังเกียจกลิ่นตัวมนุษย์ พวกเราคิดว่าเรื่องนี้เป็นที่น่าสนใจเพราะโดนัลด์ ทรัมป์มักพูดเรื่องแบบนี้อยู่บ่อย ๆ จนทำให้หลายกลุ่มรังเกียจเขา เขาคิดว่าผู้หญิงหลายคนล้วนแล้วน่ารังเกียจและกลุ่มผู้อพยพมักแพร่เชื้อโรคและบ่อยครั้งเขาเองมักใช้วาทศิลป์โน้มน้าวให้ผู้คนคิดแบบเดียวกับเขา พวกเราสันนิษฐานได้ว่า กลุ่มผู้สนับสนุนเขาเป็นคนที่รังเกียจกลิ่นตัวมนุษย์” กล่าวโดย Jonas Olofsson
ผลลัพธ์ที่ออกมาตีความได้ว่า มุมมองทางการเมืองในแบบอำนาจนิยมนั้นมีมาตั้งแต่โดยกำเนิดและเป็นเรื่องยากต่อการเปลี่ยนความคิด อย่างไรก็ตามทางด้าน Jonas Olofsson เชื่อว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนความคิดแม้แต่เรื่องสำคัญได้ “งานวิจัยได้ชี้ว่าความเชื่อต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากมีการปฎิสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มคนต่าง ๆ ทำให้กลุ่มคนที่มีความคิดแบบอำนาจนิยมหันกลับมาเปลี่ยนตัวเองด้วยเช่นกัน มีความเป็นไปได้ว่า จะมีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน โดยความเชื่อต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพวกเราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com